Friday, October 12, 2007

UNDERSTANDING DESIGN CONCEPT

หมดคอร์สแล้ว! เป็นประโยคแรกที่ถูกยิงเข้ามาในหัวของผม เราเหมือนต้องการเวลามากกว่านี้อีกสำหรับวิชานี้มันเป็นวิชาที่ได้เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เวลามันช่างไม่เคยรออะไรเลย ก่อนอื่นเลยผมต้องขอบอกเลยว่าก่อนที่จะเลือกลงวิชานี้ผมไม่รู้อะไรเลยว่าจะต้องเรียนอะไรแล้วเรียนทำไมและวิชานี้คืออะไร แต่เมื่อเรียนครั้งแรกผมก็ยังงงๆอยู่ว่าอะไรว่ะเนี่ย ทำไมมันงงบวกมึนขนาดนี้ แต่พอเรียนไปซัก 2 ครั้ง ผมก็เริ่มเข้าใจถึงวิธีการเรียบเรียงวิเคราะห์กระบวนทางความคิด การที่เราจะถอดเปลือกมันออก การที่จะเข้าไปถึงแก่นของมัน ผมว่าวิชานี้เหมาะที่จะเป็นตัวหลักอีกตัวที่ต้องเรียนด้วยซ้ำ เพราะคิดว่ามันสำคัญมากนะกับเรื่องกระบวนการทางความคิดเนี่ย ไม่ว่าจะเป็นการที่เราพบเจอหรือเสพย์สื่ออะไรต่างๆนาๆ ที่ดีและไม่ดีในสังคมเราในปัจจุบัน การที่เรามีความคิดในการที่จะตีแผ่มันออกมาแล้ววิเคราะห์มันว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นแก่นและเปลือก หรือบางครั้งมันอาจจะทำให้คุณหยุดคิดกับเรื่องที่คุณไม่เคยคิดมาก่อนเลยก็ได้ มันไม่ใช่แค่อยู่ในความคิดในการออกแบบมันเหมือนเป็นไกด์ที่ช่วยคุณในการดำรงค์ชีวิตเพื่อไม่ให้ตกอยู่ภายใต้สิ่งเร้าต่างๆเปลือกต่างๆหรือมันอาจะช่วยให้คุณมองสิ่งต่างๆในมุมมองที่แตกต่างออกไป สุดท้ายนี้ผมขอขอบคุณอาจารย์ติ๊ก มากๆที่ทำให้กระบวนการทางความคิดของผมแตกต่างไปจากเดิม เกิดมุมมองใหม่ๆตลอดทุกครั้งที่หมดในวันพุธ มันทำให้ผมเข้าใจตัวเองมากขึ้น เลิกทำตัวเชื่อยชาซะทีแล้วลงมือทำกับสิ่งที่อยากทำได้แล้วและทำให้รู้ว่าเราโลกนี้มันช่างกว้างใหญ่เพียงใด ผมจะนำความรู้ที่ได้จากวิชานี้ไปพัฒนาตัวเองและมันสมองของผม มันน่าเสียดายนะที่รุ่นน้องของพวกผมจะไม่ได้มีโอกาสเรียนวิชานี้ ( อาจารย์บอกจะไม่เปิดแล้ว T_T ) ก็อาจจะเป็นเหตุผลที่ดีที่ปิดไปเพื่ออนาคตที่ดีกว่า ขอให้รุ่นต่อๆไปได้เรียน ขอขอบคุณอาจารย์อีกทีครับ

Thursday, October 11, 2007

STATEMENT

เมื่อเรียนจบแล้วคุณจะทำอะไร ? นี่เป็นคำถามที่มีคนถามมากที่สุดในช่วงเวลา 1 เทอมที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ตัวผมเองก็ยังไม่เคยคิดและก็ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองนั้นชอบอะไรจริงๆเมื่อผมเจอคำถามนี้บ่อยๆ ผมจึงคิดแล้วมองย้อนกลับไปที่ผ่านมาเราชอบอะไร และอะไรคือสิ่งที่เราต้องการใน 3-4 ปีที่ผ่านมา ผมชอบนะกับการที่เป็นนักออกแบบในสายวิชาที่เรียนมา แต่บางครั้งผมก็รู้สึกเหนื่อย ท้อ ว่าเราจะทำมันออกมาได้ดี หรือไม่ดี แต่เมื่อมาถึงวันนี้ผมก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่ากับการที่เราได้ลงแรงลงมือทำมัน แล้วเราก็ชอบมันและนี่แหล่ะเป็นสิ่งที่เราต้องการ สิ่งแรกที่ผมจะทำตอนเรียนจบ คือการจัดการตัวเองกับ portfolio ให้ออกมาดีที่สุด แล้วนำไปยื่นตามบริษัทต่างๆ ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ แล้วก็ขอให้มีงานทำในสายงานนี้ ไม่ว่าตำแหน่งเล็กที่สุดในบริษัทหรือตำแหน่งที่ใหญ่กว่านั้น ผมคิดว่านี่เป็นการออกตัวแบบช้าๆ ให้เราได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ ที่ผ่านเข้ามา ทำให้เรามีรากฐานที่มั่นคง แล้วผมก็คิดว่าจะทำงานสัก 1-2 ปี เก็บเงินได้สักก้อนพอที่จะช่วยแบ่งเบาภาระทางบ้าน เพื่อที่จะไปใช้ในระหว่างเรียนปริญญาโท ในต่างประเทศ เพราะผมคงไม่สามารถหาเงินค่าเทอมได้เองทั้งหมด ประเทศที่ผมชอบและคิดไว้มีหลายที่คือ เยอรมัน สวีเดน และอังกฤษ แต่อังกฤษคงไม่ใช่ตัวเลือกแรกของผม เป็นเพราะค่าเงินที่หนักหนา ยั่งกับไปเรียนนอกโลกแต่ถ้ามีโอกาสมันก็น่าคิดนะ ส่วนประเทศที่ผมอยากไปอันดับแรกคือ เยอรมันและสวีเดน เพราะผมชอบงานในแถบนั้น และเป็นอะไรที่เราไม่ค่อยเคยเห็น ไม่ว่าจะเป็นบ้านเมือง หรือผู้คน และการใช้ชีวิต ทำให้ผมคิดได้ว่าสิ่งที่เราต้องทำตอนนี้ คือศึกษางานแถบนั้นให้มากๆ การเรียนภาษา แล้วก็หยุดคิดว่าเราจะไปเรียนต่ออะไร นี่ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมยังบอกตัวเองไม่ได้ว่าเราจะเรียนอะไร แต่จากการที่ได้ทำงานมันอาจจะเป็นตัวช่วยในการตัดสินใจว่าอะไรเหมาะกับเราจริงๆ แล้วอะไรที่เราจะต้องการเรียนต่อเมื่อได้ไปเรียนต่อปริญญาโทไม่ว่าจะที่ไหน พอจบมาก็คงเป็นวันนันเองที่ทำให้รู้จักเองและรู้ว่าตรงไหนที่ไหนเหมาะสมกับตัวเราจริงๆ ทั้งหมดนี้อาจจะเป็นการคิดแบบไม่ค่อยดีนัก แต่สำหรับตัวผมนั้น มันสิ่งที่ต้องค่อยๆเป็นค่อยๆไป ผมคิดว่าการที่เราจะเป็นนักออกแบบที่ดี ควรหาที่ ที่เหมาะสมกับตัวเรา และก้าวเดินอย่างช้าๆไม่ต้องรีบแบบก้าวกระโดดเหมือนที่หลายๆคนคิดแบบนั้น ผมคิดว่าการเริ่มจากรากหรือฐานของมันน่าจะเป็นวิธีที่ดีที่สุด

เมื่อส่ง statement อันนี้ไป อาจารย์ติ๊กก็ได้ให้คำถามกลับมาว่า " อย่างไร "

อย่างแรกผมก็ถามตัวเองว่าอะไรว่ะ อย่างไรอะไรว่ะแล้วก็มานั่งคิดๆดูมันก็จริงอย่างที่อาจารย์และเพื่อนๆในห้องได้คุยกัน การที่เราจะทำตามสิ่งที่เราต้องการนั้นเราต้องวางแผนและกำหนดทิศทางที่แน่นอนในการดำเนินชีวิตของเรา เราไม่อาจปฏิเสธเงินที่เป็นตัวทำให้เราอิ่มท้อง มันเป็นไปไมได้หรอกกับการที่เราจะมานั่งติสแดกไปวันๆแล้วจะมีอะไรแดก ( นอกจากจะรวยอยุ่แล้ว ) เมื่อเรามองย้อนกลับไปที่จุดหมายของเราคืออะไร คือการที่ได้ทำงานเป็นนักออกแบบจบปริญญาโทจากต่างประเทศอย่างที่เขียนไว้ใน statement ข้างต้น เราก็ต้องบ่มฟักตัวเองตั้งแต่วินาทีนี้เลย ( จริงๆแล้วมันอาจจะช้าไปหน่อยด้วยซ้ำ ) เรียนภาษาให้แข้งแรงเข้าไว้ ทำงานศึกษาอย่างหนักเพื่อที่จะได้มาซึ่งสิ่งที่เราต้องการ รวมไปถึงการสร้าง connection ต่างๆ ที่เราสามารถจะไปแปะอยู่ที่ใดที่หนึ่งได้ ทำ portfolio ให้ดีที่สุดเพื่อไปยื่นตามบริษัทต่างๆ เพื่อมีงานทำก่อนนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของเรา ต่อมาการเก็บเงินเป็นสิ่งที่สำคัญเราต้องอดทนกับสิ่งเร้าที่จะเกิดขึ้นรอบๆตัวเราให้ได้ สว่นเรื่องการเลือกวิชาโท นั้นก็คงเป็นบางอย่างที่อยู่สายวิชาการออกแบบเพราะผมยังไม่รู้แน่ชัดว่าตัวเองชอบอะไรกันแน่ สื่อสิ่งพิมพ์ก็ชอบ new mediaก็ชอบ โฆษณาก็ดี การที่เราได้เข้าไปทำงานคงทำให้ผมรู้ว่าอะไรเหมาะกับตัวเองที่สุดและนั่นจะเป็นตัวช่วยสำคัญในการตัดสินใจเลือกวิชาในการเรียนต่อของผม เพราะเราต้องรู้ว่าโอกาสมันก็ไม่ได้วิ่งมาชนเราเสมอเราต้องขวนขวายและเตรียมพร้อมรอมันมาหาเรา

IMAGINATION

จินตนาการในความคิดของผม ผมคิดว่าจินตนาการนั้นเริ่มต้นที่ความฝัน เหมือนกับว่าเราคิดอะไรก็ได้ไม่มีขีดจำกัด จะมีสาระหรือจะเกินจริงเหนือธรรมชาติแค่ไหนก็ได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความคิดความสามารถของแต่ละคน รวมถึงบริบทรอบๆตัวเราระหว่างนั้น จะเป็นตัวกำหนดทิศทางทางความคิดของแต่ละบุคคล ด้วยการรับรู้ที่ต่างกันคนเราย่อมมีจินตนาการที่แตกต่างกันออกไป เราไม่สามารถที่จะกำหนดวิธีการตายตัวของจินตนาการได้ ประสบการณ์และการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการวิเคราะห์หรือเรียบเรียงกระบวนการทางความคิด

จินตนาการ ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เป็นคำที่อยู่ภายในกลุ่มของ จินต- , จินต์ ซึ่งเป็นคำกริยา ที่แปลว่า คิด ส่วนคำ จินตนาการ เป็นคำนาม แปลว่า การสร้างภาพขึ้นในจิตใจ

เมื่อย้อนกลับไปที่คำถามว่าคุณเคยเจอกับจินตนาการมั้ย ?
ส่วนผมนั้นผมคิดว่าผมเคยเจอนะ ครั้งหนึ่งผมเคยได้มีโอกาสไปแข่งเกมส์ ( Counter strike เป็นเกมส์ first person shooting ) ในฐานะตัวแทนทีมชาติไทย เราจับฉลากอยู่สายเดียวกับ Sweden ( เป็นที่ 1 ของโลกอยู่ในขณะนั้น ) ก่อนการแข่งขันผมตื่นเต้น ทั้งอยากจะลองวัดฝีมือกันซักตั้งแต่ลึกๆแล้วผมก็กลัวนะ แต่ผมก็คิดว่าไหนๆก็มาถึงนี่แล้วลองกันซักทีไม่แน่นะโชคอาจอยู่ข้างเรา เมื่อถึงเวลาแข่งขันๆจริงๆ ผมก็มีความรู้สึกแบบกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมือไม้สั่นเหงื่อแตกไปหมด บางครั้งมันก็รู้สึกเฮ้ยหน้าอกเรานี่มีธงไตรรงค์แปะอยู่นะจะให้มันมาดูถูกเราตั้งแต่ยังไม่เริ่มได้ยังไง เมื่อเกมส์เริ่มขึ้นสถานการณ์กดดันกลับไปตกอยู่ที่แชมป์โลกเพราะเรานำไปก่อน 5-0 ( เล่นทั้งหมด 30 win ) การที่นำไปก่อน 5-0 ในเกมส์นี้ถือว่าเป็นอะไรที่ได้เปรียบเยอะ แล้วจินตนาการของผมก็เริ่มเกิดขึ้น บวกกับบริบทรอบข้าง ( คนเชียร์เยอะเพราะไม่มีใครคิดว่าไทยสามารถทำได้ขนาดนี้ ) กำลังใจเริ่มมาเพียบ ผมก็คิดว่าเราน่าจะเอาอยู่เราน่าจะชนะพวกนี้ได้ไม่ยากเกินความสามารถ ผมเริ่มตะโกนบอกเพื่อนผมว่า " เฮ้ยเราจะชนะ อย่าไปกลัวมัน " ตรงนี้แหล่ะที่ผมคิดว่ามันจินตนาการ มันมีการบวกกับบริบทต่างๆรอบข้าง ทำให้เกิดทางที่จะเป็นไปได้ หัวสมองผมก็เริ่มคิดไป แต่สุดท้ายเราก็เอาไม่อยู่แพ้ไปแต่มันก็เป็นแมตช์ที่น่าจดจำและทำให้มีการพัฒนาต่างๆมากมาย
จินตนาการตรงนี้ผมคิดว่ามันเป็นการประเมินผลและคาดหวังกับสิ่งที่จะเป็นไปได้ จากบริบทต่างๆที่เกิดขึ้น
ทำให้เกิดการคิดวาดภาพในหัวสมองว่าเราสามารถทำให้มันเป็นจริงได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคำว่าจินตนาการกับคำว่าเพ้อฝันมันมีแค่เส้นบางๆกั้นอยู่จนบางครั้งเราสับสนกับมัน